ดิเรก พรสีมา*
อภิชาติ ทองน้อย**
o ครูเองต้องสร้างความเข้าใจ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของครู ไม่ว่าจะเป็น พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พรบ.กคศ. พบร.ระเบียบบริหารราชการกระทรวง หรือพรบ.คุรุสภา หรือพวกประกาศกระทรวง กฎกระทรวง และข้อบังคับของกคศ.ก็ตาม รวมถึงหนังสือเวียนของกคศ. หนังสือเวียนของสพฐ. ว่ามาตรฐานการศึกษาเขาเขียนไว้นั้นตัวเองรู้หรือไม่ เพราะบางคนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็เลยคิดว่าเขาบังคับเราให้ทำ แต่ที่จริงเขาเขียนไว้กว้างมาก มาตรฐานที่กระทรวงกำหนดนั้นเราประกาศไปตลอด เราบอกไปตลอดว่า มาตรฐานขั้นต่ำเป็นเท่าไหร่ นี่ประกาศมา 14 ตัว 18 ตัว หรือต่อไปจะ 12 ตัวอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้คือมาตรฐานขั้นต่ำ โรงเรียนจะต่ำกว่านี้ไม่ได้ เพราะถ้าโรงเรียนจะทำสูงกว่านี้กระทรวงก็จะมีแต่อนุโมทนาสาธุ แต่สิ่งเหล่านี้บางครูก็นึกว่า กระทรวงผูกมัดมา บีบรัดมาให้เราทำแค่นี้ หากเราอยากทำอย่างอื่นก็ทำไม่ได้ อันนี้คือความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ก็เลยเป็นข้ออ้างที่ทำไม่กล้าคิดต่อเพราะตัวเองไม่ได้รู้ความจริงว่าคืออะไรกันแน่
o ในด้านความรู้ความสามารถของครูเราโดยทั่วไปแล้วหากนำไปเทียบกับครูลาว ครูพม่า หรือครูเขมรจะพบว่า ความสามารถในเนื้อหาวิชาดีกว่า ความรู้ความเข้าใจความสามารถในการถ่ายทอดก็ดีกว่า แต่ถ้าไปเทียบกับมาเลเซียหรือสิงคโปร์จะพบว่าเป็นคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่นำไปเทียบกับใครเราก็ไม่รู้ แต่ไปเทียบทั้งด้านความรู้ในเนื้อหาสาระ ความรู้ภาษาอังกฤษ ความรู้คณิตศาสตร์ ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ รวมถึงความสามารถในการถ่ายทอดของเราด้อย ถ้าเทียบกับกันเองอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าไปเทียบกับครูสิงคโปร์จะพบว่า เด็กของสิงคโปร์จะไม่ถูกตำหนิว่าโง่ เพราะเด็กก็เหมือนกับคนไข้ หมอก็มีหน้าที่รักษาให้เต็มที่ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ต้องรักษา แต่นักเรียนที่เข้ามานั่งเรียนอยู่ในห้อง 40 -50 คน ถ้าคนไหนมันเกเร เรียนช้า ครูก็จะทิ้ง ละเลย ถูกทอดทิ้ง ครูจะดูแลแต่คนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น กลุ่มปานกลางขึ้นไปเท่านั้นที่ดูแล แต่พวกกลุ่มข้างล่างหรือปานกลางลงมานี่ ครูสิงคโปร์จะไม่เป็นอย่างนั้น เขาจะดูแลแต่ละบุคคลให้เก่ง ครูทุกคนของสิงคโปร์จึงมีโปรแกรมสอนซ่อมเสริมเป็นเรื่องปกติที่ทำเป็นประจำ แต่ของบ้านเราสอนแต่คนที่เก่งแล้ว มีการติวพิเศษ สอนพิเศษให้กับคนที่เก่งแล้วให้เก่งมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่คนที่สอบตกเรียนไม่ดีนั้นจะถูกละเลย ทอดทิ้ง หากเป็นสิงคโปร์ในระดับ ป.4 ป.5 ครูทุกคนจะมีข้อมูลว่า เด็กชาย x เด็กชาย y หรือกระทั่งเด็กชาย z เด็กพวกนี้อ่อนอะไร เช่น อ่อนคณิตศาสตร์ อ่อนภาษาพอขึ้น ป.4 ป.5 พอสอนไปสัก 1-2 สัปดาห์ครูประจำชั้นหรือครูประจำวิชาจะรู้แล้วว่าอาทิตย์นี้มันจะช้านะ ถ้าจะรอไปเป็นเดือนแล้วค่อยมาแก้ก็จะไม่ทันการณ์กันพอดี พอสัปดาห์ที่ 3 เอาเด็กอ่อนพวกนี้มาเรียนเลย เพื่อจะให้ตามคนอื่นได้ทัน
o ประเทศฟินแลนด์ ถ้าเด็กคนไหนเรียนอ่อนจะให้ไปนั่งเรียนกับครูที่เก่งที่สุดของโรงเรียน คือ เขาจะมีครูพิเศษ (Special teacher) ไว้คนหนึ่ง ถ้าคนไหนเรียนช้าเรียนไม่ทันเขาจะต้องส่งไปหาอาจารย์อุ๊ อาจารย์ประกิตเผ่าในโรงเรียนนั้นๆ สมมติง่ายๆ ให้เข้าใจอย่างนี้ ซึ่งอาจารย์อุ๊ที่ว่านี้จะไม่ได้สอนประจำชั้น คนไหนที่เรียนไม่รู้ไม่เข้าใจให้ไปหาอาจารย์อุ๊เลย คนไหนเรียนฟิสิกส์ไม่เข้าใจส่งไป เขาจะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะให้คำปรึกษาหารือ ติววิชาเหล่านั้นที่เรียนอ่อนให้เข้าใจ ในแต่ละโรงเรียนจะมีครูประเภทนี้อยู่เพื่อช่วยให้นักเรียนที่มีปัญหาเรียนให้ทันเพื่อน พอเห็นว่าคนไหนเริ่มจะมีปัญหาเขาจะเอามาเรียน แต่ประเทศไทยไม่เป็นอย่างนั้น ครูไทยไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่มีความเก่งในการรีเชคนักเรียน หาจุดอ่อนของนักเรียน ครูเรายังไม่พอ ซึ่งสิ่งนี้ถ้าจะทำให้เขามีพลังอำนาจเราก็จะต้องให้ความรู้ ให้การศึกษา ให้สมรรถนะแก่พวกเขา
o การให้อำนาจในบ้านเราระดับประถมอาจจะยังไม่ชัด แต่ครูในระดับมัธยมปลายนี่จะเห็นชัดเลย ครูมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์สอบไม่ผ่านวิชาฟิสิกส์ ฉะนั้นถ้าตัวเองรู้ว่ามีความรู้และสอบได้ไม่ถึง 80 เปอร์เซ็นต์แล้วจะมาสอนเด็กให้เก่งได้อย่างไร ทั้งที่จริงแล้วมันจะต้องร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
o ความรู้ของครูในเนื้อหาวิชาจะต้องแม่น แม้แต่ครูประถมวัย หรือครูประถมซึ่งทุกคนจะต้องสอนทุกวิชาทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ครูประถมพอไปสอนภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ตัวเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พูดก็ไม่ค่อยรู้ สอนก็ไม่ได้ ครูประถมมันต้องสอนหลายวิชา ต้องสอนประจำชั้น หลักสูตรทั้งหลายที่เราสอนนี่มันเรียนแยก ไม่ได้เรียนเพื่อไปทำงาน ถ้าจะไปสอนประถมคุณต้องสามารถสอนได้ทุกวิชาทั้ง 8 กลุ่มสาระ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ซึ่งอันนี้ก็เป็นจุดอ่อนของหลักสูตรของเรา เราต้องทำให้ครูมีความรู้ทั้งในเนื้อหาวิชา ความรู้ในเรื่องการถ่ายทอด แล้วก็ต้องรู้ในเรื่องแหล่งเรียนรู้ รู้แหล่งอุปกรณ์ รู้แหล่งสื่อ สอนวิชาภาษาอังกฤษ ป.4 นี่มันมีอะไรบ้าง สื่ออิเล็กทรอนิกส์มีอะไรบ้าง สื่อตำรามีอะไรบ้าง สื่อที่เป็นแผ่นใสมีอะไรบ้าง สื่อที่เป็นเกมส์มีอะไรบ้าง สื่อที่เป็นแหล่งเรียนรู้มีอะไรบ้างครูจะต้องรู้ และจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละเรื่องนั้นจะจัดอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เราขาดไป ขาดตั้งแต่ตอนผลิตครู กระบวนการเรียนการสอนนักเรียนครู มันผิดมาจากตรงโน้น
-----------------------------------------------------
* ดร.ดิเรก พรสีมา : ประธานคณะกรรมการคุรุสภา (ผู้ให้สัมภาษณ์)
** อภิชาติ ทองน้อย : อาจารย์มหาวิทยาลัย, นักวิจัยอิสระ (ผู้สัมภาษณ์)
บทความนี้สัมภาษณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2553
ณ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย จังหวัดปทุมธานี
สงวนลิขสิทธิ์
หากต้องการนำเนื้อหาในบทความไปเผยแพร่ในเชิงวิชาการ
กรุณาติดต่อขออนุญาตทางอีเมลนี้ : ashtonbkk@gmail.com