ดร.ดิเรก พรสีมา*
อภิชาติ ทองน้อย**
o ก่อนจะไปสังเกตการสอนเขาจะเอาแผนการสอนของครูที่เป็น Master teacher หรือครูต้นแบบมาถ่ายเอกสารแจกกัน เช่น กลุ่มนี้จะไปสังเกตการสอนของครูคณิตศาสตร์ ม.4 ด้วยกันที่โรงเรียนที่ 1 ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะไปสังเกตการเรียนการสอนที่โรงเรียนที่ 2 ก็จะทำคล้ายๆ กัน เอาแผนการสอนมาดูกัน โดยนักเรียนครูทุกคนจะนั่งดูแผนการสอน จะเห็นขั้นตอนว่าจะเริ่มต้นอย่างไร การนำเข้าสู่บทเรียนยังไง การใช้สื่อใช้อะไรยังไง แล้วอาจารย์ก็จะชี้ให้ดูว่า นี่เขาใช้ทฤษฎีของคนนี้ ใช้หลักการของคนนั้น อธิบายให้ฟัง ไม่เน้นสอนทฤษฎีบนกระดานแต่มาโยงกับแผนการสอนให้เห็นเป็นรูปธรรม พอออกจากเรียนทฤษฎีก็มาเข้าห้องมาฉายวีซีดีดูในแต่ละกลุ่มซึ่งได้ไปสังเกตการณ์การสอนของครูต้นแบบในโรงเรียนที่กำหนดไว้ แล้วบันทึกวีดีโอไว้เพื่อนำมาสนทนากลุ่มย่อยกัน ว่าครูต้นแบบคนนั้นๆ ได้สอนตามบันทึกหรือไม่ สังเกตดูพฤติกรรมของนักเรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่มว่ามีพฤติกรรมอย่างไร แล้วครูต้นแบบคนนั้นใช้วิธีใดในการแก้ไขปัญหา จากนั้นย้อนถามนักเรียนครูว่าถ้าเป็นพวกเธอจะทำอย่างไรเช่น ตอนที่เด็กคนนี้ตอบคำถามไม่ถูกครูคนนั้นชมเขาหรือไม่ แล้วครูคนดังกล่าวใช้หลักการสอนของใครหรือใช้ทฤษฎีของใคร ที่ครูเขาถามคนนั้นถามคนนี้เขาถามกระจายหรือไม่ หรือว่าถามเฉพาะคนเก่งๆ อยู่ไม่กี่คนที่นั่งอยู่แถวหน้า เน้นการเอาทฤษฎีมาถามในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงภายในห้องเรียนดังกล่าวว่า ถ้าพวกเธอเป็นครูต้นแบบคนนั้นเธอจะทำอย่างไร ซักถามกันไปเรื่อยๆ แล้วมาสรุปในแต่ละวันว่า มีประเด็นใดในการเรียนการสอนที่ต้องทำการปรับเปลี่ยน เน้นการเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาพูดโยงเข้ากับทฤษฎีต่างๆ ฉะนั้นนักเรียนครูแต่ละคนก็จะเก่ง เพราะจากการสังเกตการเรียนการสอนในช่วง 3-4 ปีของเขาเหล่านั้นในห้องเรียนในแต่ละที่มีอะไรบ้าง สามารถแยกแยะสภาพปัญหาระหว่างห้องเรียนของเด็กประถมว่ามีอะไร ห้องเรียนของเด็กมัธยมว่ามีอะไร แล้วครูที่เป็นครูต้นแบบเขาแก้ปัญหาอย่างไร แก้ถูกหลักการหรือไม่ แก้ถูกทฤษฎีหรือไม่ ซึ่งหลังจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว อาจารย์ผู้สอนของนักเรียนครูก็จะบอกว่าประเด็นปัญหานี้ควรจะแก้ด้วยสิ่งใดหรือวิธีการใด แต่เป็นไปในแนวทางการให้ข้อเสนอแนะเท่านั้นไม่ใช่ให้จดจำวิธีการเพื่อไปลอกเลียนแบบ เพราะแนวการสอนของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน วิธีดังกล่าวทำให้นักเรียนครูมีทางเลือกว่าจะใช้แนวทางการสอนอย่างไรจึงจะเหมาะกับตัวเอง เหมาะกับความถนัดตามแนวทางการสอนของแต่ละคน ซึ่งกว่าจะจบการศึกษาออกไปเป็นครูนั้นจะต้องผ่านกรณีศึกษาของครูต้นแบบมากกว่า 100 คน ฉะนั้นเขาจะทำให้ครูแต่ละคนเก่ง
o พอครูเก่งแล้วเวลาไปทำงานในโรงเรียน ทุกประเทศที่ครูเก่งๆ เขาจะเอาครูที่สอนวิชาเดียวกันมาประชุมร่วมกัน เช่น ประเทศฟินแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ทุกๆ 2 สัปดาห์ครูที่สอนคณิตศาสตร์ ม.2 ในเขตพื้นที่เดียวกัน (อำเภอ หรือเมืองเดียวกัน) มาที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่งภายในเขตพื้นที่นั้นๆ เพื่อมาทำแผนการสอนสำหรับสอนสัปดาห์หน้า ครูที่ทำการสอนคณิตศาสตร์ชั้น ม.2 ทั้งหมดมานั่งปรึกษาหารือกัน สนทนากลุ่มกันว่าจะสอนในเนื้อหาที่กำลังจะมาถึงในสัปดาห์หน้าอย่างไรเพื่อนำไปใช้ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยร่วมกันกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน ทั้งตำราเรียนควรเป็นเล่มไหน สื่อการสอนควรเป็นชนิดใด กำหนดไว้หมด โจทย์คำถามเรื่องละ 10 ข้อ ใช้แบบทดสอบอย่างนั้นอย่างนี้ หากว่าสื่อการสอนประเภทใดยังไม่มีใช้ในโรงเรียนก็ช่วยกันทำช่วยกันผลิตขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ เช่นเดียวกันการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ม.3 ควรไปประชุมร่วมกันที่โรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ โดยเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพเวียนไปเรื่อยๆ ในกลุ่มโรงเรียนของตน วิธีการนี้จะทำให้ครูรู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง หากแต่มีเพื่อนๆ ครูที่สอนวิชาเดียวกันอยู่ภายในเขตพื้นที่เดียวกัน และประสบปัญหาในการสอนในลักษณะเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่ามีความเชี่ยวชาญในสายงานการ สอน มีทักษะวิชาชีพเพิ่มขึ้นในสายงานครู และเกิดความมั่นใจในตนเองที่จะทำการสอนให้เหมาะสมกับสภาพจริงของผู้เรียน
-----------------------------------------------------
* ดร.ดิเรก พรสีมา : ประธานคณะกรรมการคุรุสภา (ผู้ให้สัมภาษณ์)
** อภิชาติ ทองน้อย : อาจารย์มหาวิทยาลัย, นักวิจัยอิสระ (ผู้สัมภาษณ์)
บทความนี้สัมภาษณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2553
ณ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย จังหวัดปทุมธานี
สงวนลิขสิทธิ์
หากต้องการนำเนื้อหาในบทความไปเผยแพร่ในเชิงวิชาการ
กรุณาติดต่อขออนุญาตทางอีเมลนี้ : ashtonbkk@gmail.com